คนส่วนใหญ่คงจะทราบกันดีว่า ในยุคปัจจุบันอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากโลกของเราก้าวเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียอย่างเต็มรูปแบบเรียบร้อยแล้ว ทำให้เราสามารถสื่อสารกันได้สะดวกรวดเร็วมาก ๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการสื่อสารเพียงไม่กี่ช่องทางเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณคนที่มีส่วนต่อการผลักดันให้เกิดโลกออนไลน์มาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้การใช้ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จนทำให้ผู้คนบางส่วนพยายามจินตนาการไปถึงวันข้างหน้าว่า “โลกออนไลน์สำหรับยุคต่อไปจะมีความก้าวหน้าขนาดไหนกันแน่!”
เมื่อไหร่ก็ตามที่พูดถึง “Web 3.0” คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทราบแล้วว่า “มันคืออะไร” แต่ก็มีบางคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ Web 3.0 มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป แต่อย่างไรก็ยังไม่สายเกินจะเรียนรู้ เนื่องจากสิ่งนี้มีความสำคัญต่อโลกอนาคตมากจริง ๆ ชนิดที่ว่า อาจจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าเว็บไซต์ของยุคถัดไปเลยทีเดียว จึงอยากให้ลองมาเรียนรู้ประเด็นดังกล่าวไปด้วยกัน
จาก “อดีต” ถึง “ปัจจุบัน” และการมุ่งหน้าสู่ “อนาคต”
Web 3.0 คือความใฝ่ฝันของผู้คนในยุคนี้ ที่หวังอยากเห็นการพัฒนารูปแบบเว็บไซต์ที่ก้าวล้ำขึ้นไปอีกระดับ แต่เมื่อกล่าวถึง Web 3.0 หลาย ๆ คนคงจะเกิดความสงสัยว่าทำไมต้องเป็น “3.0” นั่นแสดงว่าต้องมี “1.0” และ “2.0” ด้วยใช่หรือไม่ ? คำตอบของทั้งหมดที่กล่าวมาคือ “คุณคิดถูกแล้ว” เพราะโลกของเรามีวิวัฒนาการฉันใด เว็บไซต์เองก็ย่อมต้องมีวิวัฒนาการด้วยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อช่วยให้ทุกคนไม่เกิดความสับสน ทางเราจึงนำข้อมูลตั้งแต่ 1.0 , 2.0 ไปจนถึง 3.0 มาฝากกันเหมือนเช่นเคย
-
Web 1.0 (อดีต)
เริ่มต้นกันด้วย “Web 1.0” ซึ่งคือยุคที่คนบางส่วนที่กำลังอ่านบทความนี้อาจจะเกิดไม่ทัน โดยมีจุดสตาร์ทอยู่ที่ปี พ.ศ.2532 จากฝีมือของวิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ อย่าง “Tim Berners-Lee” ซึ่งเขาเป็นคนที่คิดค้นวิธีการ Hypertext หรือการสื่อสารข้อความหลายมิติ กระทั่งก่อให้เกิด “World Wide Web” ในเวลาต่อมา แต่นอกเหนือจากการสร้าง World Wide Web ที่กล่าวมาแล้ว เว็บไซต์จำเป็นต้องมีองค์ประกอบต่าง ๆ อีกหลายส่วนด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น HTTP , HTML และ URL เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร Web 1.0 ก็เป็นเพียง One Way Communication ซึ่งคือการสื่อสารแบบทางเดียวนั่นเอง ไม่สามารถพูดจาตอบโต้กับใคร ๆ ได้ทั้งนั้น เว็บไซต์ของยุคนี้จึงมักจะเป็นเว็ปเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว เว็ปประกาศการรับสมัครงาน รวมถึงเว็ปรายงานข่าวสารบ้านเมือง
-
Web 2.0 (ปัจจุบัน)
ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ของ Web 1.0 ที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ก่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น ในชื่อ “Web 2.0” จึงสามารถตอบโต้ระหว่างกันได้อย่างอิสระ ซึ่งเรียกว่า “Two Way Communication” หรือก็คือการสื่อสารแบบสองทางนั่นเอง จึงมีการสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Facebook , Instagram และ Twitter เป็นต้น ส่วนเว็บไซต์สัญชาติไทยที่เกิดขึ้นในยุคนี้ หากอยากให้นึกภาพออกง่าย ๆ คงจะไม่พ้นเว็ปบอร์ดสุดฮิต อย่าง “pantip.com” ที่ครองความนิยมมายาวนานมาก ๆ
-
Web 3.0 (อนาคต)
อย่างที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดีว่า Web 2.0 ในปัจจุบัน แม้จะมีความสะดวกสบายต่อการใช้งาน แต่เราก็เริ่มเห็นปัญหาใหญ่ ๆ มาสักพักแล้วเหมือนกัน เนื่องจากการสื่อสารผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ จำเป็นต้องพึ่งพา “ตัวกลาง” ซึ่งตัวกลางที่กล่าวมาทำให้เกิดปัญหามากมาย โดยเฉพาะการลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลไปขาย หรือแม้กระทั่งการจับตามองพฤติกรรมการใช้งาน รวมถึงมีการนำข้อมูลเหล่านั้นไปทำการวิเคราะห์ เพื่อจัดทำโฆษณาให้ตรงใจของเราที่สุด จากปัญหาที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นเหตุให้หลายคนเกิดความรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดการคิดค้น “Web 3.0” ขึ้นมาในที่สุด
ในตอนนี้ Web 3.0 ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้น โดยยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด เบื้องต้นคาดว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นยุคสมัยใหม่แห่งโลกอินเทอร์เน็ต มีจุดประสงค์ลดการพึ่งพาตัวกลาง และเดินหน้าเข้าสู่ยุค “ไร้ตัวกลาง” เพื่อขจัดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุค Web 2.0 สำคัญที่สุดคือมีความเป็นไปได้สูงมากว่า Web 3.0 จะชาญฉลาดกว่าเดิม จึงมีส่วนช่วยให้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Artificial Intelligence (AI) , Machine Learning (ML) , Big Data หรือแม้กระทั่ง Blockchain สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่คิดค้น Web 3.0 หาใช่คนอื่นคนไกล เขาคือ “Tim Berners-Lee” บุคคลสำคัญระดับตำนานที่คนทั่วโลกต่างคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นคนเดียวกับที่ก่อให้เกิด Web 1.0 นั่นแหละ โดยเขากลับมาอุทิศตนเพื่อสร้างมาตรฐานสากลของเว็บไซต์ขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการก่อตั้งองค์กร World Wide Web Consortium หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “W3C” ซึ่งมีข้อสรุปต่าง ๆ ออกมามากมาย แต่ประเด็นหลัก ๆ ที่น่าสนใจมีดังต่อไปนี้
– ไร้ตัวกลาง กล่าวง่าย ๆ คือการลดบทบาทตัวกลาง แล้วเปลี่ยนมากระจายอำนาจแก่ผู้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลางในการสื่อสารระหว่างกันแล้ว หรือหากอยากให้นึกภาพออกคงจะเป็นการสื่อสารกันโดยไม่มีแพลตฟอร์ม อย่าง Facebook , Twitter และ Instagram เข้ามาเกี่ยวข้อง
– สร้างฉันทามติร่วมกัน คือการตรวจสอบความถูกต้องในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างบรรดาเหล่าผู้ใช้งานด้วยกันเอง รวมถึงการสร้างความเห็นพ้องร่วมกัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
– การออกแบบโค้ดร่วมกัน เดิมทีการออกแบบโค้ดจะเป็นหน้าที่ของทีมงานประจำเว็บไซต์เท่านั้น แต่สำหรับยุค Web 3.0 จะแตกต่างออกไป เมื่อผู้ใช้งานได้รับโอกาสเข้ามาช่วยกันพัฒนาโค้ด จนกระทั่งโค้ดดังกล่าวสามารถใช้งานได้จริง ๆ ในที่สุด
“Web 3.0” เกี่ยวข้องกับวงการคริปโทเคอร์เรนซีอย่างไร ?
การนำ Web 3.0 มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแวดวงคริปโทเคอร์เรนซี นับว่าเป็นอีกสิ่งที่ควรค่าแก่การจับตามองเช่นเดียวกัน เพราะคริปโทเคอร์เรนซีนั้นมีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งจุดเด่นหลัก ๆ ของเทคโนโลยี Blockchain ก็คือการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ จึงมีความเกี่ยวข้องกับ Web 3.0 อย่างมิอาจหลีกหนี อีกทั้งผู้คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นพิเศษ จึงอาจจะมีความจำเป็นที่เราต้องเข้าสู่ยุค Web 3.0 เร็วขึ้น
ส่วน Web 3.0 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น คงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการรู้ เอาเป็นว่าก่อนอื่นเราควรหาทางลดบทบาทของตัวกลางให้หมดไปเสียก่อน เพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคไร้ตัวกลางอย่างแท้จริง แต่ถึงแม้เราจะสามารถลดบทบาทของตัวกลางได้สำเร็จจริง การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ ก็ยังคงต้องพึ่งพาตัวกลางอยู่ดี เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของรัฐบาลด้วย จึงไม่สามารถยุติบทบาทของตัวกลางทั้งหมดได้ ท้ายที่สุดแล้ว Web 3.0 จะเกิดขึ้นได้ ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาอีกสักพักใหญ่ ๆ เพื่อให้ความใฝ่ฝันครั้งนี้เกิดขึ้นจริง