ปัญหาไม้เบื่อไม้เมาอย่างนึงของคนใช้เครื่องคอมพิวเตอร์คือเครื่องตัวเก่งตัวเก่าที่ใช้งานมานานแล้ว ทำไมถึงรู้สึกได้เลยว่ามีความเร็วในการทำงานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากวันแรก ๆ ที่ซื้อเครื่องมาจากร้าน วันนี้เราจะทุกคนไปเพิ่มพลังความเร็วเครื่องให้กลับมาเร็วปี๊ดเหมือนใหม่กันอีกครั้ง แบบเหมือนเพิ่งย้อนกลับไปเมื่อตอนซื้อเครื่องครั้งแรกันเลย
ทำไมคอมพิวเตอร์ถึงช้าลง
มาเริ่มไขปัญหากันก่อนจากคำถามว่าทำไม เจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรามันถึงได้ทำงานช้าลงได้ล่ะ เอาจริง ๆ เรื่องนี้ก็ค่อนข้างที่จะตอบได้ยากอยู่สักหน่อย เพราะว่าปัญหานั้นเป็นไปได้หลากหลายตัวแปรเอาซะมาก ๆ แต่สาเหตุหลัก ๆ เลยนั่นคือทรัพยากรที่เหลือไม่เพียงพอให้ตัวเครื่องสามารถนำเอาไปใช้งานนั่นเอง
ทรัพยากรที่ว่านี้ก็ประกอบไปด้วย:
- แรม หรือ M (Random Access Memory) ไม่พอ
- พื้นที่ว่างของ HDD หรือ SSD ในตัวเครื่องไม่พอ
- HDD เครื่องเก่าที่ไฟล์ภายในนั้นกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ
- มีโปรแกรมทำงานอยู่เบื้องหลัง Background จำนวนมาก
- มีโปรแกรมที่เริ่มขึ้นมาพร้อมกับตอนที่เราเปิดเครื่อง Startup หลายตัว
- ความผิดพลาดในการทำงานบางอย่างของระบบ Windows หรือไม่ได้ทำการอัปเดตไดรเวอร์
- มีมัลแวร์หรือไวรัสอยู่ภายในเครื่อง
- เปิดเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษในการแสดงผลต่าง ๆ ในตัวเครื่องเยอะเกินไป
ทำยังไงให้เครื่องทำงานได้รวดเร็ว
ขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหาเครื่องช้าเครื่องอืด อาจจะดูเบสิกสักหน่อย เพราะเคยได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำ นั่นก็คือให้รีสตาร์ตเครื่องใหม่ดูก่อน เพราะนี่คือสิ่งแรกที่ควรทำ เพราะบางครั้งการเปิดเครื่องมาทำงานต่อเนื่องนาน ๆ มันจะมีการกวาดพื้นที่ของแรมไปใช้งาน เมื่อนานขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะมีการใช้งานพื้นที่มากไปเรื่อย ๆ
และถ้าหากว่าแรมเต็มแล้ว ระบบ Windows จะมีการหันไปหา HDD หรือ SSD มาใช้งานพักข้อมูลโปรแกรมเอาไว้แทนแรม ถ้าเป็น SSD อาจจะยังถือว่าดีหน่อย เพราะมันทำงานได้รวดเร็ว แต่ยังไงก็ยังช้ากว่าแรมเยอะ แต่ถ้าเป็น HDD แบบเก่าแล้วล่ะก็ เครื่องจะอืดอย่างเห็นได้ชัดเลยในทันที
การไล่ปิดโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานนั้นก็มีส่วนช่วยลดการใช้พื้นที่แรมให้น้อยลง แต่การรีสตาร์ตเครื่องจะทำให้มั่นใจได้มากกว่า ว่าตัวโปรแกรมจะไม่แอบทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบ
ส่วนต่อมาคือการเปิดอัปเดตระบบ Windows ที่จะเช็กว่ามีซอฟต์แวร์อะไรภายในเครื่องของเราที่มีเวอร์ชันใหม่ออกมาปรับปรุงการทำงานเพิ่มเติมแล้วบ้าง การอัปเดตเวอร์ชันใหม่จะเป็นการซ่อมแซมแก้ไขการทำงานของระบบให้ทำงานได้ดี รวดเร็วมากยิ่งขึ้นนั่นเอง บางโปรแกรมอาจจะมีความผิดพลาดในการทำงานที่ทำให้ใช้พื้นที่แรมเกินความจำเป็น การอัปเดตเวอร์ชันใหม่ก็จะมาปรับปรุงให้ใช้พื้นที่แรมน้อยลง เครื่องก็ไม่อืดไม่ช้า รวมถึงช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างใช้งานได้ และแน่นอนว่าเพิ่มความปลอดภัยให้ตัวเครื่องจากผู้ไม่หวังดีด้วย
ถ้าระหว่างที่เราเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วสังเกตเห็นว่ามีหน้าต่างโปรแกรมหลายตัวเด้งขึ้นมาทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ไปกดเปิดตัวไหนเลย นั่นก็คือโปรแกรมที่เริ่มทำงานทันทีที่เปิดเครื่องหรือ Startup ถ้าหากว่ามีโปรแกรมแบบนี้มาก ๆ จะส่งผลให้เครื่องทำงานช้าลงได้ ลองเข้าไปที่หน้า Startup ของระบบ Windows แล้วไล่ดูรายชื่อโปรแกรม ปิดตัวที่เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ตอนเปิดเครื่องทุกครั้งลงไป ก็จะเป็นอีกทางที่ช่วยให้สามารถเปิดเครื่องและทำงานได้เร็วขึ้น
ทำความสะอาด Hard Drive
เมื่อ Hard Drive หรือในอีกชื่อว่าฮาร์ดดิสก์ (HDD) ของเครื่องเต็มแล้ว จะส่งผลต่อความเร็วในการทำงานของตัวเครื่องด้วยเช่นเดียวกัน เพราะระบบปฏิบัติการอย่าง Windows จะไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับไปใช้ในการทำงานต่าง ๆ ของตัวระบบ ไม่ว่าจะเป็นการกันพื้นที่สำหรับ Swap ไฟล์ การป้องกันการกระจัดกระจายตัว Prevent Fragmentation และการใช้พื้นที่สำหรับสร้างไฟล์ชั่วคราว
เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเครื่องจะไม่ได้ช้าจากสาเหตุนี้ ให้ลองดูพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ของฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ภายในเครื่องของเรา อย่างน้อยต้องมีขนาดพื้นที่ว่าง 500MB ขึ้นไป วิธีการเช็กก็ไม่ยาก ให้เข้าไปที่ File Explorer ของระบบ Windows หรือจะเข้าที่ My Computer สำหรับระบบ Windows เวอร์ชันเก่า ถ้าเวอร์ชันใหม่ก็จะเป็น This PC และไล่ดูที่ไอคอนรูปไดรฟ์ตัวแรก ที่มักจะเป็นไดรฟ์ C: แล้วลองสังเกตแถบด้านข้างว่ามีปริมาณพื้นที่ว่าง Free เท่าไหร่
และถ้าหากว่าเครื่องของคุณไดรฟ์หลายตัว ก็ให้แน่ใจว่าไดรฟ์แต่ละลูกนั้นจะมีพื้นที่ว่างเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 500MB ด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ระบบมีพื้นที่ในการทำงานได้เพียงพอนั่นเอง
ต่อไปนี้เป็นทิปในการลบข้อมูลที่ไม่จำเป็นในไดรฟ์ออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างในการทำงานให้กลับมามากขึ้น:
เคลียถังขยะ Recycle Bin ให้ว่าง เวลาที่เราลบไฟล์ใด ๆ ก็ตามออกจากหน้าโปรแกรม หรือใน File Explorer ไป จริง ๆ แล้วมันยังไม่ได้หายออกไปจากเครื่องเลยทันที แต่มันจะย้ายไปอยู่ที่ถังขยะ Recycle Bin ก่อน เผื่อในกรณีที่เราลบพลาดไปโดนไฟล์สำคัญแบบไม่ตั้งใจ ก็ยังสามารถนำเอาไฟล์นั้นกลับมาใช้งานใหม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าหากว่าแน่ใจแล้วว่าในถังไม่มีไฟล์สำคัญใด ๆ ของเราเหลืออยู่อีกแล้ว ก็ให้ลบทิ้งให้ว่างให้หมด เราก็จะได้พื้นที่ของไดรฟ์กลับคืนมาเพิ่ม
ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานออก ก็ถือเป็นทางแก้ไขเบสิกอีก 1 ทางที่มักจะแนะนำกัน คือให้เราเช็กดูว่าในเครื่องนั้นมีโปรแกรมไหนที่เราไมได้ใช้งานอีกแล้วบ้าง ก็ให้ลบออกไปจากเครื่องเลย จะไม่ได้มานั่งเด๋อกินพื้นที่ของไดรฟ์เรา จะได้เอาที่ไปให้โปรแกรมตัวอื่น ๆ เค้าทำงานกัน วิธีการก็คือให้เข้าไปที่ Control Panel ของระบบ Windows แล้วเลือกไปที่ Programs and Features ในนี้จะเป็นที่รวมรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ทุกตัวที่เราได้ทำการติดตั้งเอาไว้ ไล่ดูได้เลย ตัวไหนไม่ใช้แล้วก็ยกเลิการติดตั้งออกไปซะ
ล้างโฟลเดอร์ดาวน์โหลด นับเป็นอีกโฟลเดอร์ที่เรียกว่าเป็นแหล่งเก็บไฟล์ต่าง ๆ ลงในเครื่องมากมาย เพราะปกติแล้วเราก็มักจะใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บต่าง ๆ และหลายครั้งก็ต้องมีการดาวน์โหลดจากเว็บมากมายมาลงไว้ในเครื่องเอา ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์งานเอกสาร ไฟล์รูป ไฟล์โปรแกรม ไฟล์วิดีโออะไรเยอะแยะสารพัด โฟลเดอร์จึงมักจะมีขนาดใหญ่โตตามระยะความยาวนานที่เราใช้ไปนั่นเอง ถ้ารู้ตัวว่าในนี้อะไรอยู่เยอะและก็เก่าแล้ว ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป ก็เข้ามาลบ ๆ ไปซะหน่อย จะได้ไม่หนักเครื่องนะ
ลบไฟล์ชั่วคราว (Temporary File) ทิ้ง ระบบ Windows มักจะมีการสร้างไฟล์ชั่วคราว หรือ Temporary File ขึ้นมาใช้งานอยู่บ่อย ๆ และเมื่อใช้งานเสร็จก็ชอบปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้นซะด้วย ขี้เกียจจริง ๆ เลย ดังนั้นเราที่เป็นเจ้าของและผู้สั่งงานมัน ก็ต้องเข้าไปค้นหาแล้วทำการลบทิ้งซะ
วิธีการก็ไม่ยาก ให้เรากดปุ่ม Windows + R ขึ้นมา แล้วพิมพ์ว่า %TMP% แล้วคลิก OK จะเป็นการเปิดหน้าต่างรายชื่อโฟลเดอร์ที่เอาไว้ใช้เก็บไฟล์ชั่วคราว ๆ ต่างขึ้นมานั่นเอง แต่อันนี้เป็นวิธีการที่ต้องบอกว่าต้องให้มือโปรสักหน่อยนะ จะไปลบมั่ว ๆ สุ่มสี่สุ่มแปดไม่ได้ เพราะไฟล์บางตัวระบบก็ยังมีการใช้งานอยู่ ดังนั้นถ้าใครที่เป็นมือใหม่ ขอแนะนำให้ไปโหลดโปรแกรม CCleaner มาเป็นตัวช่วยลบไฟล์แทนจะดีกว่า เพราะตัวโปรแกรมนี้จะไม่ลบไฟล์สำคัญ ๆ ที่ยังมีการใช้งานอยู่ออกไปนั่นเอง ปลอดภัยหายห่วง
ล้างแคชและคุกกี้ในโปรแกรมท่องเว็บ ปกติเวลาที่เราเข้าดูเว็บต่าง ๆ ตัวโปรแกรมท่องเว็บ หรือเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ก็มักจะมีการเก็บข้อมูลแคชพักเอาไว้ในเครื่องของเราอยู่เสมอ รวมไปถึงข้อมูลคุกกี้ด้วยเช่นเดียวกัน ที่มักจะถูกเก็บพักเอาในเครื่อง เพื่อใช้สำหรับทำงานร่วมกับเว็บไซต์ต่าง ๆ หลายโปรแกรมจะมีเมนูในการลบแคชเหล่านี้ออกไปมาให้เลย โดยเข้าไปที่เมนูการตั้งค่า หรือ Settings ของตัวโปรแกรม แล้วลองพิมพ์หาว่า Delete Cache ดูได้เลย
และแน่นอนว่าถ้าหากทำเองไม่เป็น ดูยุ่งยากซับซ้อน โปรแกรมอย่าง CCleaner ก็ช่วยได้เหมือนกัน ช่วยลบให้ได้แบบง่าย ๆ ไม่ต้องเข้าในเมนูตั้งค่าเองให้ยุ่งยาก
จัดเรียงข้อมูลในไดรฟ์ (Defragment)
อันนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เครื่องของเราทำงานได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการเรียกเปิดไฟล์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับแต่ละโปรแกรมภายในเครื่อง สำหรับใครที่ยังใช้ฮาร์ดดิสก์แบบเก่าอยู่ วิธีนี้ค่อนจะช่วยให้เห็นผลได้มากกว่าบน SSD เนื่องจากบน SDD นั้นสามารถทำงานเรียกโหลดข้อมูลไฟล์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วอยู่แล้วนั่นเอง ไม่ต้องไปจัดเรียงอะไรก็เร็วจี๋ แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ก็มานั่งทำกันบ้างซะหน่อย โดยตัวโปรแกรมด้วยจัดเรียงนี้ มีมาให้ในระบบ Windows จาก Microsoft อยู่แล้ว หรือเรียกว่าติดเครื่องมาอยู่แล้วนั่นเอง ไม่จำเป็นต้องไปหาโหลดมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด
วิธีการเปิดโปรแกรมก็ไม่ยาก กดปุ่ม Windows ที่คีย์บอร์ดข้าง ๆ ปู่ม CTRL ด้านซ้ายมือ 1 ที แล้วพิมพ์คำว่า Defragment ได้เลย แค่นี้ตัว Windows ก็จะโชว์โปรแกรมขึ้นมาแล้ว จะกด Enter 1 ทีเพื่อเปิดโปรแกรม หรือคลิกเมาส์ที่ตัวไอคอนโปรแกรมเลยก็ได้เช่นกัน แล้วแต่สะดวก
ปิดโปรแกรมบนพื้นหลัง Background
นี่ก็เป็นอีกปัจจุบันที่ทำให้เครื่องของเราช้า เพราะว่าจะมีโปรแกรมที่ยังเปิดตัวทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบ แม้ว่าเราจะไม่เห็นว่ามีหน้าต่างโปรแกรมใด ๆ เปิดอยู่ก็ตาม แต่จริง ๆ แล้วมันยังไม่ได้ปิดตัวเองไปไหน แต่เปิดตัวทำงานอยู่ เพื่อช่วยในการทำงานสำหรับบางโปรแกรมให้รวดเร็ว แต่บางทีเราก็อาจจะไม่ได้ใช้โปรแกรตัวนั้น ๆ ดังนั้นการที่มีการทำงานของโปรแกรมตัวนั้นค้างเอาไว้อยู่ ก็จะส่งผลให้เครื่องทำงานกับโปรแกรมอื่นที่เรากำลังใช้งานได้ช้างลงนั่นเอง รู้งี้แล้วก็มาไล่ปิดกันดีกว่า
วิธีการคือให้กดปุ่ม CTRL+ALT+DELETE พร้อมกัน เพื่อเรียกโปรแกรม Task Manager ของระบบ Windows ขึ้นมา จากนั้นในแท็แรกที่เขียนว่า Processes จะปรากฏรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ที่ยังทำงานอยู่บนระบบ Windows ให้เราเห็น ลองไล่ดูว่ามีชื่อโปรแกรมตัวไหนที่เราไม่ได้ใช้งานแล้วหลงเหลือค้างอยู่บ้าง ให้คลิกที่ชื่อโปรแกรมนั้น แล้วคลิกที่ปุ่ม End Task ที่มุมขวาล่างของหน้าต่าง รอสักนิดชื่อโปรแกรมตัวที่เราคลิกเลือกไว้ก็จะหายไปจากรายชื่อโปรแกรมของหน้าต่าง เป็นอันปิดการทำงานเรียบร้อยเสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าหากว่าโปรแกรมตัวไหนที่ไม่รู้จัก เห็นชื่อแล้วก็ไม่ค่อยคุ้นเลยก็แนะนำว่าอย่าไปยุ่งกับมันนะ เดี๋ยวปิดไปแล้วจะส่งผลต่อโปรแกรมที่เรากำลังใช้งานอยู่ได้นั่นเอง
ปิดโปรแกรมที่เริ่มทำงานตอนเปิดเครื่อง (Startup)
อันนี้ก็จะเป็นลักษณะคล้าย ๆ กับโปรแกรมบนพื้นหลัง แต่มักจะเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนที่เราเปิดเครื่องเลย เมื่อเข้าหน้า Windows โปรแกรมที่อยู่ในรายชื่อเหล่านี้ก็จะไล่ทยอยเปิดตัวเองขึ้นมาพร้อม ๆ กัน โดยที่บางครั้งเราอาจจะไม่ได้เป็นคนตั้งค่าเอาไว้ เพราะว่าเป็นค่าเริ่มต้นที่ถูกตั้งมาจากผู้พัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเริ่มนั่นเอง เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมลงเครื่องแล้ว โปรแกรมเหล่านี้เลยเริ่มทำงานพร้อม ๆ กับระบบ Windows ของเราตอนเปิดเครื่องทันที
วิธีการปิดนั้นให้ทำตามคล้าย ๆ วิธีการปิดโปรแกรมพื้นหลัง คือกดปุ่ม CTRL+ALT+DELETE พร้อมกัน เพื่อเรียกโปรแกรม Task Manager ของระบบ Windows ขึ้นมา แต่คราวนี้เราจะไปที่แท็บ Startup แทน จะเห็นรายชื่อโปรแกรมหลากหลายตัว ลองดูว่าตัวไหนที่เราไม่อยากให้มันเริ่มทำงานทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ให้คลิกที่ชื่อโปรแกรมตัวนั้น แล้วคลิกที่ปุ่ม Disable ที่มุมขวาล่าง ทีนี้ลองสังเกต Status หรือสถานะของตัวโปรแกรม จากเดิมที่ขึ้นว่าเป็น Enabled ก็จะกลายมาเป็น Disabled หรือหยุดการทำงานแล้วนั่นเอง แค่นี้ก็เรียบร้อย
สแกนตรวจหาไวรัสและโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malware)
อันนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่เราทุกคนควรทำกันอยู่แล้ว เพื่อให้ไม่ให้แอบมีโปรแกรม หรือเชื้อร้ายอะไรใด ๆ เข้ามาอยู่ขโมยข้อมูลเครื่องของเรา หรือมาส่งผลทำให้เครื่องเราทำงานช้าลงอย่างน่าหงุดหงิดกวนใจ ใครที่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ PC หรือระบบ Windows จะติดตั้งโปรแกรม Anti Virus หรือ Security Suite อะไรใด ๆ จากยี่ห้อชั้นนำเอาไว้ก็ไม่เสียหลาย กันไว้ดีกว่าแก้นะ ราคาโปรแกรมเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้แพงอะไรมากมายอีกด้วย
อัปเกรดเพิ่มหน่วยความจำแรม (RAM)
ถ้าลองด้วยตัวซอฟต์แวร์หรือตัวระบบ Windows ทั้งหมดที่ว่ามาจนหมดแล้ว เครื่องก็ยังไม่ได้ทำงานเร็วขึ้นสักเท่าไหร่ ให้ลองสังเกตว่าเราใช้งานเครื่องเยอะหรือเปล่า อย่างเช่นตอนเปิดเครื่องใหม่ ๆ ก็ทำงานได้เร็วดี แต่พอใช้ ๆ ไปสักพัก 10 นาที 20 นาที เครื่องเริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ให้ลองเปิด Task Manager ของระบบ Windows ขึ้นมาดู
ด้วยการกดปุ่ม CTRL+ALT+DELETE พร้อมกัน แล้วไปที่แท็บ Performance ลองสังเกตช่องสี่เหลี่ยมซ้ายมือช่องที่ 2 ที่เขียนว่า Memory ดู จะเห็นว่าตัวเลขด้านหน้า คือตัวเลขที่เราใช้จำนวนพื้นที่ของแรมไปทั้งหมด ส่วนตัวเลขด้านหลังคือขนาดพื้นที่แรมที่เรามีทั้งหมดในเครื่อง ถ้าเกิดว่าเลขหน้าใกล้หรือเท่า ๆ กับเลขหลัง ก็แสดงว่าเราใช้แรมเยอะจนเต็มขนาดพื้นที่ของเครื่องที่มีแล้ว วิธีนี้แนะนำไปซื้อแรมมาใส่เครื่องเพิ่มจะทำให้ลื่นขึ้น ไม่ช้าเร็วแล้ว
อัปเกรดฮาร์ดดิสก์หรือ SSD
เป็นการอัปเกรดที่ตัวฮาร์ดแวร์หรือชิ้นส่วนภายในเครื่องอีกชิ้นนึง ที่หลักการทำงานจะคล้าย ๆ กับแรม แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว ตัวไดรฟ์ หรือ SSD จะเป็นส่วนที่เครื่องเก็บข้อมูลโปรแกรมทุก ๆ อย่างของระบบเอาไว้ในนี้ เมื่อเราเปิดเครื่องขึ้นมาทำงานมันจะไปเรียกไฟล์ข้อมูลทั้งหมดจากที่เก็บเอาไว้ในไดรฟ์มาให้เรานั่นเอง และบ่อยครั้งที่เครื่องรุ่นเก่า ๆ ที่ยังใช้ฮาร์ดดิสก์จานหมุนแบบเดิม ๆ จะทำงานในส่วนนี้ได้ช้า กว่าที่จะอ่านข้อมูลได้ทั้งหมดก็ใช้เวลานาน ถ้าใครยังใช้แบบเก่าอยู่แนะนำว่าไปอัปเกรดเป็น SSD แบบใหม่ จะเห็นได้ชัดเจนว่าเครื่องเร็วขึ้นมาแบบถนัดตา อย่างกับเพิ่งซื้อเครื่องใหม่กันเลยทีเดียว
ติดตั้งอัปเดตใหม่ของระบบ Windows
ตัวระบบ Windows ที่เราใช้งานนั้นจะมีการอัปเดตแพตช์ออกมาใหม่อยู่เรื่อย ๆ จาก Microsoft ผู้พัฒนาตัวระบบตัวนี้ ดังนั้นจึงแนะนำว่าให้หมั่นอัปเดตตัวระบบอยู่เป็นประจำ ซึ่งปกติจะมีการตั้งเป็นอัตโนมัติเอาไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มั่นใจก็สามารถเข้าไปเปิดดูเพื่อเช็กด้วยตัวเองได้ ว่ามีอัปเดตมาใหม่แล้วติดตั้งเรียบร้อยแล้วหรือยัง โดยเข้าการกดปุ่ม Windows ที่คีย์บอร์ด แล้วพิมพ์ว่า Updates ก็จะขึ้นตัวโปรแกรมมาให้เรากดเปิดจากการกด Enter หรือคลิปเมาส์ก็ได้ เมื่อเข้ามาในตัวโปรแกรมแล้วก็ให้กดปุ่ม Check for updates อีกที
ล้างเครื่องติดตั้งระบบ Windows ใหม่
ถ้าทำทั้งหมดทั้งมวลใด ๆ ที่ได้ว่ามาทั้งหมดแล้ว แต่เครื่องก็ยังไม่เห็นจะเร็วสักเท่าไหร่เลย งั้นเราขอแนะนำให้ลองล้างระบบ Windows ใหม่ให้หมดจดไปซะเลย จะได้มั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์ระบบภายในเครื่องของเรานั้น ทำงานเหมือนเพิ่งซื้อเครื่องมาใหม่จากร้าน ไม่มีโปรแกรมใด ๆ มาแอบกวนการทำงานของมันอย่างแน่นอน ถ้าใครที่ใช้ระบบ Windows เวอร์ชันใหม่ ๆ อย่าง Windows 10 หรือ 11 จะมีตัวช่วยในการ Reset ระบบมาให้ด้วย โดยกดปุ่ม Windows แล้วพิมพ์ว่า Reset ก็จะมีเมนขึ้นมาให้เราได้กด จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนและคำถามต่าง ๆ ที่ระบบ Windows จะถามเราเพื่อความแน่ใจก่อนที่เราจะทำการ Reset ล้างข้อมูลใหม่ทุกอย่าง และก่อนที่จะไปทำขั้นตอนนี้ ก็อย่าลืมที่จะสำรองไฟล์ หรือแบ็กอัปเก็บข้อมูลสำคัญ ๆ ของเราเอาไว้ก่อน กันข้อมูลหายเดี๋ยวจะเดือดร้อนเอาได้
แต่ถ้าใครไม่มีเมนู Rest จากระบบเวอร์ชันเก่า อันนี้ก็คงต้องล้างลงใหม่ด้วยวิธีการลง Windows แบบปกติอย่างเดียวเลย ซึ่งขั้นตอนนั้นจะมีความซับซ้อนอยู่หน่อย ลองหาอ่านในบทความ หรือใน YouTube กันดูได้เพิ่มเติม ไม่งั้นเดี๋ยวบทความนี้จะยาวเกินไป
ที่มา ibit.ly/MqR7