Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาเป็นที่เรียบร้อยสด ๆ ร้อน ๆ มาพร้อมกันหลากหลาย ตั้งแต่ iPhone 15, iPhone 15 Pro, Apple Watch Series 9 และ Apple Watch Ultra 2
iPhone 15 Pro
มาเริ่มกันที่ตัวแรกเลย กับ iPhone 15 Pro ที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุด รอบนี้ Apple ชูโรงมาด้วยวัสดุใหม่ ขอบตัวเครื่องทำมาจากไทเทเนียม ที่เป็นเกรดเดียวกันกับที่ใช้ยานอวกาศเลยทีเดียว ถือว่าเป็นวัสดุที่ให้ความแข็งแรง แต่มีน้ำหนักที่เบามาก เรียกว่าเป็นวัสดุที่หรูหรามากกว่าสแตนเลสเดิมเข้าไปอีก แต่ก็จะทำผิวสัมผัสมาเป็นแบบด้านขัด Brushed เป็นเส้น ๆ
สีสันรอบนี้ก็เปลี่ยนแปลง ไป เพราะจะไม่มีสีทองมาให้เหมือนเดิมแล้ว ส่วนสีทั้งหมดมีมาให้เลือกกัน 4 สี คือ ดำ ขาว น้ำเงิน และสีธรรมชาติของเนื้อไทเทเนียม
ภายในให้มาเป็นชิปตัวใหม่ล่าสุด Apple A17 Pro ที่แรงกว่าเก่า พร้อมชูโรงด้านความแรงของระบบกราฟิกภายในตัว ที่สามารถให้ภาพในการเล่นเกมที่สวยงามมากขึ้นกว่าเดิม เทียบชั้นใกล้ ๆ กับการเล่นเกมบนเครื่องคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว พร้อมจับมือค่ายเกมใหญ่หลายเจ้า เอาเกมดัง ๆ มาลงให้เล่น ไม่ว่าจะเป็น Ubisoft ที่จะเอา Tom Clancy’s The Division 2 และ Assassin’s Creed มาลงให้เล่นกันบน iPhone หรือ Capcom ก็เอา Resident Evill Village และ Resident Evil 4 Remake มาให้เล่นด้วย
ต่อกันด้วยกล้องที่รอบนี้มีเลนส์พิเศษตัวใหม่ นั่นคือเลนซ์ซูมพลังระยะไกล ระดับ 5 เท่ากันไปเลย หรือเทียบเท่ากับเลนซ์กล้องถ่ายรูปที่ระยะ 120 มม. เลยทีเดียว ใครที่ชอบไปดูกีฬาหรือคอนเสิร์ตบ่อย ๆ น่าจะได้ใช้ฟีเจอร์นี้กันเยอะแน่ ๆ
จุดต่อมาไปดูกันที่ปุ่มปิดเสียง ที่รอบนี้เปลี่ยนจากสวิตช์เลื่อนปกติ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างเดียว กลายมาเป็นปุ่มชื่อเรียกใหม่ว่า Action Button แล้ว พร้อมความสามารถในการปรับแต่งฟังก์ชันการทำงานของปุ่มได้ ว่าอยากจะเอาไว้ทำอะไร อย่างเล่นการกดเพื่อเปิดปิดไฟฉาย หรือกดเพื่อเรียกแอปแปลภาษา อยากได้เอาไว้ทำอะไร เลือกกันเองตามใจชอบได้เลย
และจุดต่อมาที่ใครหลายคนรอคอยกันมาอย่างยาวนานจริง ๆ นั่นคือการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จใต้ตัวเครื่องมาเป็น USB-C เรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องคอยมานั่งพกสายหรือหัวแปลง Lightning กันอีกต่อไป พกแค่ USB-C เส้นเดียวพอ ถือได้ว่า Apple เปลี่ยนพอร์ตชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตัวเองมาเป็น USB-C ครบหมดเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ในรุ่น Pro ยังให้ความเร็วเป็นเวอร์ชัน 3 มาด้วย ที่ 10Gb/s ดีกว่าเดิมมาก
iPhone 15
มาดูกันที่รุ่นราคาย่อยมเยาว์ลงมาหน่อย สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการความหรูหราหรือกล้องอลังการอะไรมากมาย รอบนี้ Apple ใส่หน้าจอใหม่มาให้แล้ว เป็นหน้าจอแบบที่มีรูเกาะ Dynamic Island เหมือนกับรุ่นพี่ iPhone 14 Pro ก่อนหน้านี้มาให้ แต่ว่าสเปกจะลดทอนเรื่องของความลื่นนิดหน่อย เพราะไม่ได้เป็น ProMotion มาด้วยตามสไตล์รุ่นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
สีสันตัวเครื่องก็มีมาให้เลือกกันถึง 5 สี คือ ดำ ฟ้า เขียว เหลือง และชมพู ตามมาด้วยการเปลี่ยนวัสดุกระจกด้านหลังใหม่ ที่รอบนี้มาเป็นแบบด้านแล้ว เพิ่มความหรูหรามากยิ่งขึ้น พร้อมการทำสีใส่ลงไปในเนื้อกระจกเลย
กล้องยังคงให้มาเป็น 2 ตัวคู่เหมือนเคย แต่ก็ปรับปรุงประสิทธิภาพมาใหม่ สร้างภาพที่มีความละเอียดมากกว่าเดิมสูงสุดได้ถึง 4 เท่า ให้รายละเอียดภาพแบบคม ๆ ในทุกจุด พร้อมกล้องซูมระดับ 2 เท่า
ตัวชิปให้มาเป็น Apple A16 BIONIC ที่พิสูจน์เรื่องความแรงในการทำงานมาให้เห็นกันไปแล้วก่อนหน้า จึงมั่นใจได้ว่าลื่น ๆ ไม่มีหน่วงติดขัดใด ๆ อย่างแน่นอน จะเอาไปเล่นเกมที่มีอยู่ในปัจจุบันต่าง ๆ ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะเรื่องชิปของง Apple เอง พร้อมระบบ iOS ก็ขึ้นชื่อเรื่องการทำงานและเล่นเกมที่ลื่นเป็นไหน ๆ อยู่แล้ว
และอีกเช่นกันที่มีการเปลี่ยนพอร์ตชาร์จมาให้เป็น USB-C สักที เรียกว่าในตระกูล iPhone 15 และ 15 Pro นั้นก็เปลี่ยนเหมือนกันหมดแล้ว แต่ว่าในเรื่องของความเร็วพอร์ตนั้นจะแตกต่างกันหน่อย เพราะว่าของ iPhone 15 จะไม่ได้ให้เป็นเวอร์ชัน 3 เหมือนรุ่น Pro แต่จะเป็น USB 2.0 ที่ความเร็วจะอยู่ในช่วง 480Mb/s ก็คงต้อตามราคาค่าตัวเครื่องแหละนะ
Apple Watch Series 9
หน้าตานั้นก็ยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้อยู่เช่นเดียวกัน แต่ภายในก็มีการปรับปรุงใส่ชิปตัวใหม่มาให้ มีจำนวนทรานซิสเตอร์ที่มากกว่ารุ่นก่อนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนทั้งหมดที่ 5.6 พันล้านตัว มีส่วนของหน่วยประมวลผล Neural Engine ใหม่ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิมอีก 3 เท่า พร้อมใช้งานร่วมกับการสั่งงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Double Tap
รูปแบบการสั่งงานแบบใหม่นี้คือการจีบนิ้วมือข้างที่เราสวม Apple Watch เอาไว้ ให้นิ้วชี้และนิ้วโป้งมาแตะโดนกัน 2 ครั้ง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแตะทีหน้าจอตรง ๆ เลย สามารถใช้งานแทนปุ่มหลักต่าง ๆ อย่างเช่นเมื่อมีสายเรียกเข้าโผล่ที่หน้าจอ Apple Watch เราก็เพียงแค่จีบนิ้ว Double Tap ก็จะเป็นการรับสาย หรือหลังจากคุยเสร็จก็ทำเพื่อวางสายได้เลย ถือว่าเพิ่มความสะดวกในการสั่งงานไปอีกขั้นจริง ๆ หรือไม่ก็สามารถใช้เพื่อเล่นหรือหยุดเพลงได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนหน้าจอตัวเรือนก็เป็นตัวใหม่ ให้ความสว่างสูงสุดถึง 2000 นิต เลยทีเดียว ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งสู้แสงแดดได้ดีกว่าเดิม มองเห็นได้ชัดกว่าเดิม และยังสามารถหรี่แสงตัวเองลงได้น้อยถึง 1 นิต ด้วย สำหรับการใช้งานในที่มืดที่ไม่ต้องการให้แสงรบกวนอย่างเช่นภายในโรงภาพยนต์
ตามมาด้วยความใส่ในในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการเลือกใช้วัสดุในการผลิตที่รีไซเคิลเป็นจำนวนมาก และทำทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการขนส่งที่ลดการสร้างคาร์บอน เพื่อตอบรับนโยบาย Carbon Neutral
Apple Watch Ultra 2
รุ่นใหญ่ของนาฬิกาของ Apple ที่มาเป็น Gen ที่ 2 แล้ว ตัววัสดุเคสตัวเรือนทำมาจากไทเทเนียมเช่นกัน ให้ความเบาแต่คงความทนทานแข็งแรงเอาไว้เต็มขั้น ขนาดตัวเรือนเท่าเดิม 49 มม. สามารถกันน้ำได้ลึก 100 เมตร ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานกองทัพ MIL-STD 810H และผ่านมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น IP6X
หน้าจอตัวเรือนนั้นมีโหมดการแสดงแบบ Always-On Retina Display ที่ให้ความสามารถสูงสุดถึง 3000 นิตเลยทีเดียว แสงแดดจ้าสว่างแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว และยังสามารถหรี่แสงลงได้ต่ำสุดที่ 1 นิต ด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ให้แยงสายตาในที่แสงน้อยหรือเวลากลางคืน
เรื่องความอึดก็ถือเป็นจุดเด่นของนาฬิกาเรือนนี้ สามารถใช้งานทั่วไปได้นานต่อเนื่องสูงสุดถึง 36 ชั่วโมง และถ้าเปิดโหมด Low Power ก็จะได้นานสูงสุดถึง 72 ชั่วโมง ส่วนการใช้เพื่อออกกำลังกายในโหมด Lowe Power จะได้สูงสุด 17 ชั่วโมง
ชิปภายในเป็น S9 SiP ตัวเดียวกันกับของ Apple Watch Series 9 ให้ความเร็วในการทำงานที่สูงเหมือนกัน พร้อมจำนวนทรานซิสเตอร์ที่ 5.6 พันล้านตัวเท่ากัน หมดห่วงเรื่องความเร็วและความแม่นยำในการทำงานไปได้เลย
ที่มา Apple.com