“AirPods” หนึ่งในสินค้าที่สร้างยอดขายถล่มทลายให้แก่ค่าย Apple ถึงแม้ช่วงแรก ๆ อาจจะถูกล้อเลียนเกี่ยวกับลักษณะการดีไซน์อยู่บ้างก็ตาม แต่ปรากฏว่า ในเวลาต่อมามันสามารถสร้างยอดขายได้อย่างเหนือความคาดหมาย จนกลายมาเป็นไอเท็มเด็ดที่บรรดาเหล่าสาวกของค่าย Apple ควรมีเอาไว้ โดยสินค้าดังกล่าวสามารถสร้างยอดขายกว่า 120 ล้านคู่ หรือคิดเป็นมูลค่ารายได้ประมาณ 8 แสนล้านบาท ตามคาดการณ์ของ IDC ในปี 2021 ที่ผ่านมานี้ แน่นอนว่าค่าย Apple มีการต่อยอดความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษายอดขายในปี 2022 ให้ยังคงความแข็งแกร่งต่อไป และหวังให้ AirPods ครองส่วนแบ่งที่หนาแน่นบนตลาดของผลิตภัณฑ์หูฟังไปอีกเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
ทางค่าย Apple มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AirPods อยู่เสมอ ด้วยการปรับปรุงให้หูฟัง AirPods มีความสามารถเพิ่มมากขึ้นในผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ขณะเดียวกัน AirPods ก็เริ่มถูกแบ่งออกเป็นหลายรุ่นหลายระดับ โดยเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น AirPods , AirPods Pro หรือแม้กระทั่ง AirPods MAX ซึ่งราคาวางจำหน่ายมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว จึงอยากพามาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รุ่นกันสักหน่อย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่กำลังมองหาหูฟังมาใช้งาน โดยในแต่ละรุ่นจะมีฟังก์ชั่นอะไรเจ๋ง ๆ บ้างนั้น ลองมารับชมไปพร้อม ๆ กันได้เลย
-
AirPods (รุ่นที่ 3)
มาเริ่มต้นกันด้วยน้องเล็กสุดอย่าง “AirPods (รุ่นที่ 3)” ภายใต้สโลแกน “ระบบเสียงตามตำแหน่งสำหรับคุณ” โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้น มาพร้อมกับชิปหูฟัง H1 ซึ่งมีความทรงประสิทธิภาพมาก ๆ ทางค่าย Apple การันตีว่านี่จะเป็นประสบการณ์อีกครั้งที่เต็มไปด้วยความมหัสจรรย์จริง ๆ โดยเฉพาะประสบการณ์เสียงในทิศทางใหม่หมด มีการใช้เทคโนโลยีการติดตามศีรษะแบบไดนามิก จึงทำให้เสียงอยู่ล้อมรอบตัวคุณ แน่นอนว่าจะให้ความรู้สึกการฟังเสียงในแบบ 3 มิติ ดังนั้นเราเลยสามารถเสพคอนเทนต์ความบันเทิงต่าง ๆ ได้เต็มอรรถรสยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็น การรับชมภาพยนตร์ การดูรายการโทรทัศน์ รวมไปถึงการฟังเพลง และคอนเทนต์รูปแบบอื่น ๆ อีกมากมายนอกเหนือจากที่กล่าวมา
ผลิตภัณฑ์ AirPods (รุ่นที่ 3) มีการปรับปรุงเสียงเบสให้ทรงพลังยิ่งกว่ารุ่นก่อน ๆ ที่เคยมีมา แถมใส่ผ้าตาข่ายอะคูสติกชนิดพิเศษเอาไว้ภายในอุปกรณ์อีกด้วย ช่วยให้สามารถลดเสียงลมในระหว่างการสนทนาได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ดังนั้นคู่สนทนาจะยังคงได้ยินเสียงของเราชัดเจนแน่นอน ส่วนคนไหนใช้งานค่อนข้างสมบุกสมบันสักหน่อย ให้คลายความกังวลตรงส่วนนี้ทิ้งไปเลย เนื่องจาก AirPods รุ่นนี้ สามารถทนทานต่อเหงื่อ และน้ำ ในระดับที่ IPX4 เลยทีเดียว ทำให้สามารถรับมือได้ตั้งแต่การออกกำลังกายเหงื่อท่วม ไปจนถึงการเดินชิล ๆ ตากฝน ขณะที่ระยะเวลาในการใช้งานนั้น สามารถฟังได้นานสูงสุดประมาณ 6ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง หรือฟังได้นานรวม 30 ชั่วโมง หากพกพาเคสชาร์จด้วย โดยล่าสุดมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 6,790 บาท บนเว็บไซต์ Apple Store
-
AirPods Pro (รุ่นที่ 2)
สำหรับผลิตภัณฑ์ อย่าง “AirPods Pro (รุ่นที่ 2)” เป็นสินค้าที่มาพร้อมกับความใหม่หมดในทุกท่วงทำนอง โดยประสิทธิภาพด้านเสียงนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดขายเลยด้วยซ้ำไป ซึ่งมีการใช้ชิป H2 ที่จะช่วยให้การทำงานของหูฟังยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น สร้างความสมจริงในทุกโน๊ตทุกคีย์ ที่สำคัญคือทางค่าย Apple ถึงขั้นชูคำโปรยว่านี่คือ “โลกใหม่แห่งความเงียบ” เนื่องจากมันสามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีมาก และเมื่อมาเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์รุ่นก่อนหน้า ปรากฏว่าสามารถตัดเสียงรบกวนดีกว่าถึง 2 เท่าด้วยกัน ส่งผลให้เราสามารถเพลิดเพลินกับการฟังได้แบบเต็มอรรถรสที่สุด โดยปราศจากเสียงรบกวนรอบข้าง
จุดเด่นอีกสิ่งหนึ่งของรุ่น Pro เห็นทีคงจะไม่พ้น “จุกหูฟังซิลิโคน” ซึ่งแถมมาให้กว่า 4 คู่ ประกอบไปด้วยขนาดต่าง ๆ ทั้ง XS , S , M และ L โดยจุกหูฟังเหล่านี้จะทำการซีลทางอะคูสติก ป้องกันการรั่วไหลของเสียง อีกทั้งยังช่วยให้กระชับกับหูของเรามากขึ้นด้วย ต่อให้จะสวมใส่ขณะเดินเล่น หรือวิ่งออกกำลังกาย ก็จะไม่หลุดออกง่าย ๆ เป็นแน่ ส่วนลักษณะการใช้งานของ AirPods Pro (รุ่นที่ 2) ไม่ยากเลยสักนิดเดียว สามารถควบคุมการใช้งานด้วยปลายนิ้วสัมผัส ส่วนทางด้านการทนน้ำทนเหงื่อจะเป็นมาตรฐานแบบ IPX4 เช่นกัน ขณะที่ระยะเวลาในการฟังสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 6 ชั่วโมง และฟังนานรวมสูงสุด 30 ชั่วโมง เมื่อใช้งานร่วมกับเคสด้วย ล่าสุดราคาวางจำหน่ายทางเว็บไซต์ Apple Store กำหนดเอาไว้ 8,990 บาท
- AirPods Max
ปิดท้ายกันด้วย “AirPods Max” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีราคาแพงที่สุด โดยอย่างที่ทราบกันดีว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้น ดูมีความเรียบหรูและพรีเมี่ยมเป็นอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านการดีไซน์แล้ว ทราบมาว่า AirPods Max มีเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟด้วยเช่นกัน แถมมาพร้อมกับโหมดฟังเสียงจากภายนอกอีกด้วย รวมถึงมีระบบเสียงตามตำแหน่ง ด้วยคุณภาพเสียงราวกับฝันไป จัดอยู่ระดับเดียวกันกับโรงภาพยนตร์ กระทั่งมีความรู้สึกว่าเสียงโอบล้อมมาจากรอบ ๆ ตัวเรา จึงสามารถนำมาเสพคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้แบบเต็มอิ่มจุใจ
AirPods Max มีการใช้ชิปหูฟัง Apple H1 โดยจะใช้ฟังก์ชั่น Digital Crown ในการควบคุมการใช้งาน ตั้งแต่การเลื่อนระดับเสียง การรับสาย ไปจนถึงการเรียกบริการ Siri ส่วนระยะเวลาในการฟังสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณ 20 ชั่วโมง ที่สำคัญสินค้ารุ่นนี้มีการผลิตออกมาวางจำหน่ายหลากหลายสี ประกอบไปด้วย สีเทาสเปซเกรย์ สีชมพู สีเขียว สีเงิน และสีสกายบลู ด้านการพกพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ถือว่าค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะมี Smart Case ด้วยน้ำหนักเพียง 384.8 กรัม แถมมาให้ด้วย ซึ่งเมื่อนำ AirPods Max บรรจุลงใน Smart Case ก็จะเข้าสู่สถานะการใช้พลังงานต่ำในทันที เพื่อการประหยัดแบตเตอรี่ ทำให้สามารถใช้งานได้ยาว ๆ ตลอดทั้งวัน เพียงแต่ราคาจำหน่ายอาจจะไม่เบาอย่างที่คิด โดยมีราคาจำหน่ายบนเว็บไซต์ Apple Store แบบจุก ๆ กว่า 19,900 บาทด้วยกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบเคียงกับประสิทธิภาพในการใช้งานแล้ว หลายคนบอกตรงกันว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก ทั้งคุณภาพเสียง ฟังก์ชั่นเสริม หรือแม้กระทั่งการดีไซน์ มันดูเลอค่าสมกับการเป็นรุ่น “Max” จริง ๆ ฉะนั้นใครชอบแบบเบิ้ม ๆ ต้องไม่มองข้ามรุ่นนี้