ช่วงที่ผ่านมา “NETA” หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน มีการรุกตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ ออกมาวางขาย จนกลายมาเป็นที่นิยมของผู้คนในหลากหลายประเทศ เนื่องจากในยุคปัจจุบันนั้น กระแสเกี่ยวกับนวัตกรรม “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ “รถ EV” กำลังได้รับความสนใจอย่างเป็นวงกว้าง จนใคร ๆ ต่างก็อยากจับจองเป็นเจ้าของไปตามกัน จึงไม่แปลกหากแบรนด์ NETA จะถูกยกมาเป็นอีกตัวเลือกสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อ
NETA ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2014 โดยทางบริษัทดังกล่าวต้องการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนสามารถครอบครองเป็นเจ้าของกันได้อย่างทั่วถึง ด้วยการชูจุดเด่นในเรื่องของราคาวางจำหน่าย ที่ค่อนข้างย่อมเยาพอสมควร เมื่อเทียบเคียงกับแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด แถมคุณภาพของรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังสู้กับคู่แข่งได้อีกด้วย ส่งผลให้ NETA มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด แม้จะเพิ่งผ่านการก่อตั้งบริษัทมาเป็นระยะเวลาไม่นานสักเท่าไหร่นักก็ตาม
ในยุคปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ถือว่ามีการแข่งขันสูงมาก ๆ แบรนด์น้องใหม่ อย่าง NETA จึงอาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เยอะสักหน่อย เนื่องจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากยุโรปมาพร้อมกับจุดเด่นเพียบ โดยเฉพาะ “ประสิทธิภาพในการใช้งาน” ที่สำคัญยังมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษ มาดึงดูดยั่วยวนใจกลุ่มลูกค้าอีกด้วย แต่ดูเหมือนช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้าแบรนด์จากประเทศจีน ก็กำลังมาแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จนล่าสุดแบรนด์ NETA ได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางดวงใจของผู้คนทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว
- “NETA” ขยายตลาดไปทั่วโลก ! รวมถึง “เมืองไทย” ด้วยเช่นกัน
การเข้ามายืนอย่างแข็งแกร่งภายใน “ตลาดโลก” นับว่าเป็นเป้าหมายสำคัญของ NETA ช่วงที่ผ่านมาค่ายดังกล่าวจึงมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าออกมาสู่ท้องตลาดอยู่เสมอ ที่สำคัญคือเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลทางธุรกิจไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก ประกาศศักดิ์ดาว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากแดนมังกรเองก็มีคุณภาพสูง และถูกให้การยอมรับเช่นกัน จนเมื่อปี 2021 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 362% เลยทีเดียว ด้วยยอดการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 170,000 คัน ซึ่งช่วยโลกของเราลดมลพิษไปแล้ว ประมาณ 279,000 ตัน
แต่นอกเหนือจากการขยายตลาดไปสู่ทุกภูมิภาคทั่วโลกแล้ว “ประเทศไทย” ก็เป็นหมุดหมายสำคัญด้วยเหมือนกัน โดยถือเป็นเป้าหมายลำดับแรก ๆ ภายในภูมิภาคอาเซียนเลยด้วยซ้ำไป เนื่องจากประเทศไทยคือศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคนี้ ที่สำคัญคือภาครัฐเริ่มมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าออกมาแล้ว ขณะที่ประชาชนก็หันมาสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นอีกประเทศที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียง
ทางค่าย NETA มีความพยายามในการขยับขยายโรงงานการผลิตต่อเนื่อง จึงเกิดการสร้างโรงงานขึ้นมาทั้งภายในประเทศจีน และภายนอกประเทศจีน โดยโรงงานจากเมืองหนานหนิง จะใช้สำหรับการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพวงมาลัยขวา เพื่อส่งออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามในอนาคตคงจะมีการขยับขยายโรงงานเพิ่มเติมอีก เพื่อให้สอดรับกับการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังมีความต้องการสูงขึ้น
- เปิดตัว “NETA V” รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมกับราคาอันย่อมเยา
เปิดตัวออกมาสู่สาธารณะเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “NETA V” รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จากทางค่าย NETA ที่ถูกออกแบบมาภายใต้แนวคิด “Touchable Smart EV” ซึ่งทุกคนสามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย เหมาะกับคนในทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการเปลี่ยนจากการพึ่งพาพลังงานน้ำมัน มาสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า
เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำมันที่มีอยู่จำกัดแล้ว ยังเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย ใครกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานสักคัน จึงควรเก็บตัวเลือกดี ๆ อย่าง NETA V มาพิจารณากันสักหน่อย โดยรถรุ่นที่กล่าวมาจะมีสิ่งใดน่าสนใจบ้างนั้น ลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลย น่าจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น
NETA V มาพร้อมกับหน้าจอ Infotainment กว้าง 14.6 นิ้ว โดยมีระบบการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนมาให้ครบครัน เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกที่สุด ส่วนกุญแจจะเป็นแบบสมาร์ทคีย์ (ระบบ Ride & Go) จึงสามารถขับเคลื่อนรถได้ทันทีหลังจากการเปิดประตู ขณะที่สมรรถนะในการขับขี่นั้น มีมาให้เพียงพอต่อการใช้งาน ด้วยขุมพลังสูงถึง 95 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 150 นิวตัน-เมตร
สำหรับแบตเตอรี่ของรถรุ่นนี้ มีการใช้งาน Lithium-Ion Battery (ความจุทั้งหมด 38.5 กิโลวัตต์) โดยระยะทางในการวิ่งจะอยู่ที่ประมาณ 384 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็มด้วยมาตรฐาน NEDC ดังนั้นสามารถขับไปยังสถานที่แห่งต่าง ๆ ได้แบบสบายใจ ขอเพียงแค่วางแผนในการเดินทางดี ๆ รวมถึงมองหาสถานีชาร์จเอาไว้ก่อน แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับการใช้งาน NETA V สามารถชาร์จกระแสสลับ (AC Normal Charge) ได้รวดเร็วพอประมาณ จาก 0% ไปจนถึง 100% ใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จด้วยกระแสตรง (DC Quick Charge) ถือว่ามีความรวดเร็วมาก ๆ เหมาะกับคนที่กำลังรีบร้อน โดยเริ่มชาร์จจาก 30% ไปจนถึง 80% ใช้เวลาราว 30 นาที
แถมมีฟังก์ชั่น V2L (Vehicle to Load) มาด้วยเช่นกัน จึงสามารถแจกจ่ายไฟฟ้าแก่อุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย โดยตัวรถถูกผลิตออกมาวางจำหน่ายทั้งหมด 5 สี อันประกอบไปด้วย
- สีเขียว (Cyan)
- สีเทา (Midnight Grey)
- สีฟ้า (Sky Blue)
ทางค่าย NETA มีการกำหนดราคาในการวางจำหน่าย NETA V เอาไว้ค่อนข้างย่อมเยา ด้วยราคาเพียง 549,000 บาท จากราคาปกติ 760,000 บาท โดยทางค่ายยังปล่อยโปรโมชั่นเด็ด ๆ ออกมาดึงดูดลูกค้าอีกด้วย จึงแทบไม่ต้องสงสัยเลยหาก NETA V จะเข้ามาอยู่ภายในการพิจารณาของใครหลายคน
โดยถ้าเกิด NETA V ประสบความสำเร็จกระทั่งสร้างยอดจำหน่ายถล่มทลายไปทั่วโลก น่าจะทำให้ค่ายต่าง ๆ ต้องปรับกลยุทธ์มาสู้กันใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของราคาวางจำหน่าย ที่อาจจะต้องปรับลดลงมาให้เข้าถึงคนทั่วไปยิ่งกว่านี้ ส่วนยอดการจำหน่ายของประเทศไทยเองก็น่าจับตามองไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะช่วงที่ผ่านมามีการโหมโปรโมทเยอะมาก จนกลายมาเป็นที่สนใจของคนที่ต้องการรถยนต์ไฟฟ้า แต่มีเงินในบัญชีค่อนข้างจำกัด