โตขึ้นเล่นโซเชียลน้อยลง เป็นเพราะอะไร ไม่ว่าจะเป็น facebook Instagram Twitter WhatsApp และ LINE สำหรับบางคนที่เล่นโซเชียลน้อยลง บวกกับอายุที่มากขึ้นทำให้หลาย ๆ อย่างของเราในโลกออนไลน์กับน้อยลง เป็นที่วัยของเราหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของอายุที่ส่งผลต่อการเล่นโซเชียล เราจะมาถอดรหัสกันกับบทความนี้ โตขึ้นเล่นโซเชียลน้อยลง เป็นเพราะอะไร
โตขึ้นเล่นโซเชียลน้อยลง เป็นเพราะอะไร หลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้นกับการเลิกเล่นโซเชียล บางคนมีชีวิตที่จมกับโลกโซเชียลจนตกต่ำ บางคนได้ดีเพราะโลกโซเชียลไม่ว่าจะงานหรือการค้าขาย โลกออนไลน์เหล่านี้มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ตราบใดที่เรารู้จักตัวเองมากพอ หรือมีวุฒิภาวะในการเล่นโซเชียล อาจทำให้คุณแยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้ วุฒิภาวะในการใช้ชีวิต และวุฒิภาวะในการเล่นโซเชียล ต่างกันนะ
1.อายุทำให้เราเลิกเล่นโซเชียลจริงหรือไม่?
บางคนอาจจะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป็นเพราะเราอายุมากขึ้นจึงทำให้เราเล่นโซเชียลน้อยลงจริงหรือไม่ เป็นเพราะเราแก่ตัวไปจึงทำให้เราทำตัวหมดไฟไปแบบนั้นไหม อายุก็อาจจะมีส่วนในการเลือกใช้เวลากับสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะคุณแก่ตัวลง หรือคุณหมดไฟในการใช้ชีวิต แต่เป็นเพราะประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่ทำให้เราเลือกใช้เวลากับบางสิ่งที่จับต้องได้ และจำเป็นกับการที่คุณควรจะเสียเวลากับมัน ดีกว่าการเสียเวลาไปโดยที่จับต้องกับสิ่งที่ไม่จริง หรือหาความสุขกับมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย บางครั้งโซเชียลมีข้อดีสำหรับมัน เช่นข่าวสารต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้อัพเดทข่าวสาร หรือเป็นเรื่องของการให้ความรู้ที่สอนให้คุณทำสิ่งที่ชอบ ได้ เช่นการทำอาหาร การซ่อมคอมพิวเตอร์ หรือการทำกิจกรรมอื่น ที่คุณชื่นชอบ
อายุไม่ได้บอกว่าคุณแก่ตัวลงแต่บ่งบอกถึงประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของคุณ การเลือกหาความสุขในแบบของคุณ การเลือกใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์มากกว่าการดูชีวิตของผู้อื่นในโซเชียลไปเรื่อย การเล่นโซเชียลน้อยลง หรือเลิกเล่นไปเลย ส่งผลดีกับคุณมากกว่าการที่จะเล่นมันในทุกวันหลายชั่วโมง หากคุณเล่นโซเชียลได้น้อยลงสิ่งนั้นกำลังบอกคุณว่า คุณกำลังใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น คุณอาจจะได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ที่เราสามารถสัมผัสได้จริง หรืออยู่กับคนที่เรารักมากขึ้น พาครอบครัวไปเจอโลกภายนอก ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ในพื้นที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี หากคุณได้เริ่มทำสิ่งนี้จงดีใจได้เลยว่าคุณคิดถูกแล้วที่เล่นโซเชียลน้อยลง หรือเลิกไปเลยก็ได้ยิ่งดีกับคุณ
2.การเปรียบเทียบตัวเองในโลกโซเชียล
บางคนอาจจะมีความคิดด้านลบที่มองว่าทำไมชีวิตเราไม่ดีแบบเค้า แต่เดี๋ยวก่อนความคิดด้านลบไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป ความคิดด้านลบเป็นระบบการเอาตัวรอดของเรา ฉะนั้นอย่ามองทุกสิ่งลบไปหมด บางคนใช้ความคิดด้านลบผลักดันให้ตัวเองไปทางที่ดีขึ้น หลายคนเห็นชีวิตผู้อื่นในโซเชียล เริ่มเกิดความเปรียบเทียบ อายุเท่ากันแต่ทำไมชีวิตเค้าดีกว่าเรา อายุเท่ากันทำไมเค้าสามารถสร้างครอบครัวได้เร็วกว่าเรา อายุเท่ากันทำไมประสบผลสำเร็จมากกว่าเรา เมื่อคุณได้เห็นรูปชีวิตที่ดีของผู้อื่น ยิ่งทำให้คุณเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำให้คุณมีความรู้สึกด้านลบมากกว่าด้านบวก
เมื่อเกิดการเปรียบเทียบตัวเองในโลกโซเชียลกับผู้อื่น ยิ่งทำให้คุณรู้สึกแย่ หากคุณกำลังคิดแบบนั้นอยากให้ปรับเปลี่ยนความคิดทันที ใช่ว่าผู้คนในโลกโซเชียลจะไม่มีความทุกข์ บางคนมีความทุกข์มากมายแต่เลือกที่จะไม่บอกเล่าให้ใครฟัง เพราะเค้ารู้ว่าวันหนึ่งเค้าเองจะต้องทำใจได้ และกลับมารู้สึกดีในที่สุด จึงไม่จำเป็นต้องไปโพสทิ้งสิ่งแย่ ๆ ลงไปในโลกโซเชียลเป็นเหตุการณ์ที่ในอนาคตเราจะนึกถึงมัน แต่เลือกที่จะทิ้งไว้ข้างหลัง และเดินหน้าต่อ นี้จึงเป็นเหตุผลของคนที่มีความสุขเล่นโซเชียลน้อยลง เพราะหลักของเรื่องแล้วเค้าไม่ต้องการให้ใครรับรู้ชีวิตของเค้ามากนัก และชีวิตคนอื่นก็ไม่ได้จำเป็นพอที่จะทำให้เปรียบเทียบกับตัวเอง
3.เวลาที่เสียไปกับโซเชียลมากเกินไป
สำหรับคนที่เริ่มมองตัวเอง และเริ่มรู้ทันข้อเสียของตัวเอง ทำให้เกิดการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดี เริ่มมีเสียงสะท้อนออกมาจากจิตใต้สำนึก เราใช้เวลากับมันมากเกินไปหรือไม่ เราเล่นโซเชียลจนลืมเวลาอาหาร เวลานอนมากไปหรือไม่ สำหรับคนที่รู้ทันตัวเองกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ทำให้เค้าเริ่มที่จะปรับตัวมากขึ้น ดีกว่ากระทำสิ่งนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ได้รับรู้ถึงข้อเสียของตัวเองจึงปรับตัว และพัฒนาตัวเองไปในทางที่คิดว่าดี เมื่อผู้คนที่มีผู้ติดตามมาก อยู่ในสังคมที่มาก ผู้คนที่สนใจในตัวเค้ามาก และยอดถูกใจมาก ยิ่งทำให้ใครหลายคนเสพติดโลกโซเชียล เพียงเพราะแค่โพสอะไรลงไปก็มีผู้คนสนใจในสิ่งที่เราแชร์ ยิ่งทำให้คุณเสพติดโซเชียลมากขึ้น
เพราะตัวของคุณเองมีค่าในโลกโซเชียลใบนั้น หากคุณมีผู้ติดตามมากมาย แล้วสามารถหารายได้กับมันได้ถือเป็นสิ่งที่ดี และควรค่าต่อการสนับสนุน แต่จะมีเพียงสักกี่คนที่รู้ว่าสิ่งนั้นทำให้เวลาของคุณหมดไปกับโลกโซเชียล มากกว่าการใช้เวลาในชีวิตเพื่อพัฒนาตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย วาดรูป เล่นดนตรี ทำอาหาร และฝึกสิ่งต่าง ๆ เพื่อพัฒนาตัวคุณเอง นี้คือสิ่งที่เรียกว่าหาอะไรทำแทนที่การเล่นโซเชียล จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มากกว่าใช้เวลากับโลกโซเชียล จึงทำให้การใช้โซเชียลของคนเหล่านี้ ใช้เวลาน้อยลงอย่างมาก
4.ไม่มีสังคมในโลกโซเชียล
หนักกว่าการที่มีเวลาเล่นมากเกินไป คือการไม่รู้จะเล่นมันไปทำไม ในสมัยนี้แทบทุกคนจะเล่นโซเชียลเกือบทั้งหมด แต่มีบางส่วนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพื่อน โพส หรือแชร์อะไรลงไปก็ได้การตอบรับที่น้อย จึงไม่รู้ว่าจะอัพเดทอะไรลงไป ใครจะเห็นความคิดที่เราโพส หรือความชอบที่เราแชร์ลงไปในโซเชียล ไร้การแจ้งเตือนในมือถือ ไม่มีแม้แต่ข้อความที่เด้งขึ้น เป็นแบบนั้นมากขึ้นจึงทำให้คนส่วนนี้แทบจะไม่จำเป็นเลย ที่จะต้องพกพามือถือไปที่ไหน ตลอดเวลาเหมือนหลายคนที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้
สำหรับคนที่ไม่มีสังคมในโลกโซเชียลมากมายนัก เล่นโซเชียลก็เพื่อติดตามข่าวสารอัพเดทต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ แต่ไม่ได้บอกความเคลื่อนไหวเรื่องราวของตัวเองแต่อย่างใด ถึงแม้ใครหลายคนอาจจะมองว่าคนเหล่านี้มีเพื่อนบ้างไหม แต่เพื่อนในโลกโซเชียลไม่สามารถชี้วัดได้ว่าคนเรามีเพื่อนมากน้อยแค่ไหนในชีวิตจริง เพื่อนในชีวิตจริงต่างกับเพื่อนในโลกโซเชียลอย่างสิ้นเชิง คนเหล่านี้ไม่มีสังคมในโลกโซเชียลที่มากนัก แล้วก็ไม่ได้ต้องการสังคมในโลกออนไลน์นั้นด้วย และไม่มีเหตุผลที่จะต้องเอาเหตุการณ์ในชีวิตลงไปในโซเชียล หรือบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้ในโลกโซเชียลได้รับรู้
5.การเสพข่าวสาร มากไปไร้ประโยชน์
ข่าวสารในโซเชียลนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน มีข่าวสารในทุกวัน แต่ไม่ใช่ทุกข่าวสารที่จะมีประโยชน์สำหรับเรา ทั้งข่าวปลอม ข่าวที่ต้องการทำลายคน ๆ หนึ่ง หรือข่าวที่ต้องการส่งเสริมคนหนึ่ง บางครั้งเราก็ต้องหันกลับมาคิดถึงข่าวสารเหล่านี้ ว่ามีผลกับเรามากน้อยแค่ไหนส่งผลดีหรือร้าย ข่าวสารบางเรื่องทำร้ายคนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เจตนาเพียงแค่ต้องการขายข่าว โดยการเขียนโจมตีหรือใช้ภาพที่ส่งผลกระทบต่อคนหนึ่งคน ข่าวบางเรื่องไม่มีสาระเลยแม้แต่น้อย โดยหัวข้อข่าวจะเขียนให้ดูน่าสนใจ และน่าอ่านแต่เนื้อในกลับไม่มีอะไรเลยก็มี
สำหรับคนที่เลิกเล่นโซเชียลเพราะเฟคนิวส์ก็มีบางส่วนเท่านั้น เพียงแค่การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ลำบากแล้ว ต้องมาฟังข่าวสารที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่หนักไปกว่าเดิม ไม่ว่าจะความรุ่นแรง หรือข่าวที่สะเทือนอารมณ์ เพราะข่าวสารนั้นมากเกินไป จนบางครั้งเราแยกแยะไม่ออกว่าข่าวใดคือข่าวจริง ข่าวใดคือข่าวเท็จ การตัดโซเชียลเมื่อไม่ต้องการรับรู้ข่าวสารจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนบางส่วนเลือกที่จะทำ หนีออกจากโลกออนไลน์ไปค้นหาตัวเอง หรือใช้เวลากับตัวเอง และครอบครัวให้มากขึ้น มากกว่ามารับรู้ข่าวสารที่ไร้ประโยชน์ เช่นข่าวดาราที่หลายสื่อตั้งใจเล่นกัน โดยที่ชีวิตของเค้าไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยแม้แต่น้อย และเราก็เช่นกันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้าเลย
6.ชีวิตของคุณอยู่ที่ใด?
โตขึ้นเล่นโซเชียลน้อยลง เป็นเพราะอะไร หัวข้อนี้อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ใครหลายเลิกเล่น แต่เป็นส่วนหลักของผู้คนที่เลิกใช้โซเชียลเท่านั้น ที่เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองจนตระหนักได้ว่าทำไมคุณถึงควรเลิก หรือใช้เวลากับโซเชียลให้น้อยลง หากคุณใช้โซเชียลได้น้อยลงจริง เวลาในการพักผ่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา คุณจะได้พักผ่อนมากขึ้นและ
หากคุณไม่ได้ประโยชน์กับโซเชียลมากพอ คุณอาจจะเริ่มคิดในหัวข้อนี้ได้แล้ว คุณได้กำไรกับการเล่นโซเชียลหรือไม่ คุณได้ประโยชน์กับโซเชียลมากน้อยแค่ไหน คุณต้องทำงานที่เกี่ยวกับโซเชียลหรือไม่ ถ้าเหตุผลเพียงแค่ว่าคุณต้องการข่าวสาร สิ่งนั้นสร้างผลกระทบให้แก่คุณในทางที่ดีหรือไม่ บางทีคุณควรวางมือถือของคุณ และมองคนที่อยู่ข้าง ๆ ของคุณบ้างว่าเค้าทำอะไรในแต่ละวัน ในขณะที่คุณนั่งกับนอน คนรอบข้างของคุณใช้ชีวิตอะไรบ้าง คุณไม่จำเป็นจะต้องตอบใครว่าโซเชียลนั้นมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เราอยากให้คุณตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณได้อะไรกับการเล่นโซเชียล และการใช้ชีวิตของคุณควรอยู่ในโซเชียลอยู่ที่ใด
โตขึ้นเล่นโซเชียลน้อยลง เป็นเพราะอะไร สุดท้ายแล้ว หัวข้อเหล่านี้อาจจะทำให้คุณคิดอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย คุณไม่ควรเอาพื้นฐานชีวิตของคุณไปเปรียบเทียบกับใครทั้งนั้น คุณควรตอบตัวของคุณเองได้ว่า พื้นฐานชีวิตคุณเป็นเช่นไร ไม่ใช่คนอื่นที่มาบอกคุณในเรื่องของพื้นฐานชีวิต เหมือนกับข่าวสารมากมายที่ทำให้คิดเปลี่ยนแนวความคิดไป คุณคือคนที่รู้จักพื้นฐานชีวิตของตัวเองมากที่สุด แต่เป็นเพียงเพราะว่าคุณตั้งคำถามกับตัวเองน้อยไปเพียงเท่านั้น ลองประเมินตัวเอง แล้วให้ตัวเองได้รับรู้ว่าพื้นฐานชีวิตของเราเอง ว่าเหมาะกับโซเชียลมากน้อยเพียงใด