เมื่อคืนที่ผ่านมา NVIDIA ได้เผยโฉมการ์ดจอ Geforce RTX ออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้ปฏิวัติรูปแบบของ GPU ที่ยิ่งใหญ่กว่า Kepler ไปสู่ Maxwell เสียอีก ซึ่งทาง Nvidia ได้ทำการพัฒนา GPU รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 600% ในการประมวลผลบางอย่าง และนี่ก็คือการเติมโตแบบก้าวกระโดด ที่จะนำมาสู่มาตรฐานใหม่ของวงการกราฟฟิการ์ดในอนาคต
แล้วอะไรคือจุดเด่นของ RTX ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ NVIDIA GeForce จะมีระบบกราฟฟิกเอนจิ้นมาให้เพียงแค่ Shader Engine เท่านั้น แต่สำหรับ RTX เอนจิ้นมาให้ถึง 3 แบบด้วยกัน คือ Shader Engine แบบมาตรฐาน ถัดมาคือ RT engine และ Tensor Cores นอกจากนี้ Nvidia ยังได้นำพลังของ AI และ RT processor เข้ามาสร้างประสิทธิภาพการประมวลผลที่โดดเด่นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการกราฟฟิก ซึ่งการ์ดจอ RTX 2080 Ti มีประสิทธิภาพด้าน AI ที่เหนือกว่า GTX 1080 Ti ถึง 10 เท่า และประสิทธิภาพของ Ray Tracing ที่เหนือกว่าถึง 6 เท่า
NVIDIA ยังได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกมากมายในงานเปิดตัวเมื่อคืนนี้ และได้เพิ่มประสิทธิภาพของ AI ให้สูงขึ้นด้วยเทคนิคใหม่ ๆ เช่น การคาดเดา pixels ล่วงหน้าเพื่อลดภาระการโหลดกราฟฟิกแบบไดนามิก ซึ่งจะสามารถทำเฟรมเรทเพิ่มขึ้นได้เป็นเท่าตัวในระดับ 4K ต้องขอบคุณ Deep Learned Models ในการคาดเดา Pixel ที่จะเรนเดอร์ออกไป ถึงแม้ว่าจำนวน CUDA CORE ของ RTX 2080 Ti จะไม่สูงกว่ารุ่นก่อนมากนัก แต่ AI จะมีบทบาทเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น
ฟีเจอร์ Ray Tracing คือวิวัตินาการสำคัญอีกขั้นนับตั้งแต่วงการเกมได้ถือกำเนิดขึ้นมา แต่เดิม Pixel นั้น ได้ถูกเรนเดอร์ด้วยวิธีการ Rasterization นั่นหมายความว่านักพัฒนาจะต้องทำการเพิ่มเอฟเฟ็กต์ทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่กับฟีเจอร์ Real-Time Ray Tracing นักพัฒนาเพียงแค่ทำการตั้งค่าคุณสมบัติพื้นผิวของวัตถุภายในฉาก และเพิ่มเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เกิดแสงเข้าไป ก็จะได้กราฟฟิกการสะท้อนที่สวยงามและสมจริง แตกต่างจากการ เรนเดอร์แบบเก่าอย่างสิ้นเชิง
GeForce RTX 2080 Ti ถูกขับเคลื่อนด้วยชิป GPU TU102 ส่วน RTX 2080 และ RTX 2070 ใช้ชิป TU104 สถาปัตยกรรม Turing ซึ่งคล้ายกับชิป GPU GP104 ของ GTX 1080 และ GTX 1070 ซึ่ง RTX นั้นจะมีประสิทธิภาพต่อการใช้พลังงาน (perf/watt) และ ประสิทธิภาพต่อราคา ที่เหนือกว่า GTX
GeForce RTX 2080 Ti, 2080 และ 2070 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่มากมาย
- New RT Cores รองรับ Real-Time Ray Tracing ช่วยให้วัตถุ และสภาพแวดล้อม มีแสงเงาที่สมจริง อีกทั้งยังสามารถเห็นภาพสะท้อนบนวัตถุได้ทั่วทั้งแมพ
- Turing Tensor Cores ทำหน้าที่ปฏิบัติการด้าน Deep Learning สำหรับ AI โดยเฉพาะ
- New NGX neural graphics framework ผสานรวมกับ AI ทำให้อัลกอริทึม AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์
- New Turing shader และ Variable Rate Shading ช่วยให้ shaders สามารถโฟกัสการประมวลผลบนพื้นผิวที่มีรายละเอียดสูง ช่วยเพิมประสิทธิภาพในการประมวลผลโดยรวม
- New memory system เพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ให้เร็วขึ้นด้วย GDDR 6 ที่มี Bandwidth สูงกว่า 600GB/s เพื่อการเล่นเกมระดับความละเอียดสูงโดยเฉพาะ
- NVIDIA NVLink ระบบการเชื่อต่อแบบใหม่ที่เข้ามาแทน SLI ซึ่งมี Bandwidth สูงกว่า 100 GB/s ทำให้การทำงานร่วมกันของการ์ดจอ 2 ตัวขึ้นไปมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- รองรับฮาร์ดแวร์ USB Type-C และ VirtualLink ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมแบบเปิดใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้าน VR
- เทคโนโลยีที่ปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน VR ด้วยเทคโนโลยี Variable Rate Shading, Multi-View Rendering และ VRWorks Audio
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจ คุ้มค่ากับการรอคอยมาหลายปีกับการ์ดจอรุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาเติบโตอย่างก้าวกระโดด และแน่นอนว่าราคานั้นย่อมไม่สูงเกินกว่าตอนที่ GTX 10 Series เปิดตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีการเปิดตัวในรุ่นสูง ๆ เพียงอย่างเดียว แต่อีกไม่นาน การ์ดรุ่นล่างราคาประหยัดจะต้องเปิดตัวตามออกมาในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ส่วนราคาที่เปิดเผยออกมานั้น ยังไม่มีราคาไทยอย่างเป็นทางการแต่สามารถคาดการณ์ราคา ๆ โดยประมาณ ส่วนข่าวลือไหนถูกปล่อยออกมาก็เลิกสนใจไปได้เลย เพราะข่าวของจริงได้ทำการเปิดตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่มา : wccftech