ปัญหาหนึ่งที่ผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android มักต้องเจอเหมือน ๆ กันนั่นก็คือเมื่อใช้งานไปสักระยะจะมีอาการอืด ช้า หรือไม่ก็อาจเครื่องค้างไปเลย ต่างจากตอนแกะกล่องใหม่ ๆ ที่ใช้งานได้ลื่นไหลยิ่งกว่าใส่สเก็ต พูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นรุ่นเรือธงหรือรุ่นเริ่มต้นต่างก็ต้องเจออาการคล้ายกันนี้เข้าสักวัน บางคนถึงขั้นยอมตัดใจซื้อมือถือใหม่ไปเลย ทั้ง ๆ ที่ของเดิมเพิ่งจะใช้ได้ไม่กี่ปี ฉะนั้น วันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเร็วมือถือไม่ให้ช้าและไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องใหม่มาฝากกัน
1. อัพเดทระบบปฏิบัติการเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
ปกติแล้วระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นต่าง ๆ รวมถึงตัว UI ของแต่ละค่ายมักจะมีช่องโหว่หรือที่เรียกว่า “บั๊ก” (Bugs) ติดมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งบ่อยครั้งที่บั๊กเหล่านี้ทำให้ตัวซีพียูหรือหน่วยความจำ (RAM) ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจนเกิดอาการอืดช้า ฉะนั้น ทางผู้ผลิตมือถือจึงมักมีบริการหลังการขายด้วยการออกตัวอัพเดทซอฟท์แวร์ตามมาทีหลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้านต่าง ๆ ของมือถือให้ดีขึ้น รวมถึงอัพเดตระบบความปลอดภัยไว้ต่อกรกับมัลแวร์ต่าง ๆ ได้มากกว่าเดิมด้วย
สำหรับวิธีอัพเดทสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เชื่อมต่อมือถือกับอินเทอร์เน็ตแล้วเลือกเมนูการตั้งค่า (Setting) จากนั้นเลื่อนหาเมนู “อัพเดทซอฟท์แวร์” กดดาวน์โหลดและติดตั้ง รอเครื่องอัพเดตเสร็จก็เป็นอันสมบูรณ์
2. ลบไฟล์ในเครื่องที่ไม่ได้ใช้
ผู้ใช้หลายคนที่เป็นสายถ่ายรูป/เซลฟี่มักจะถ่ายรูปวันหนึ่งหลายสิบรูป หลายวันรวมกันเป็นหลักร้อยรูป แถมบางวันอาจถ่ายคลิปวิดีโอด้วย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีไฟล์รูปภาพและคลิปวิดีโอกองรวมกันในอัลบั้มเป็นพัน ๆ ยังไม่รวมไฟล์ภาพที่เกิดจากการใช้แอปแต่งภาพและไฟล์ที่โหลดมาจากแหล่งต่าง ๆ ด้วย ไฟล์เหล่านี้จะกินพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน (ROM) ไปทีละน้อยและจะส่งผลกับการทำงานของมือถือโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น จึงควรหมั่นลบไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ออกจากเครื่องเสีย หรือหากเป็นไฟล์สำคัญที่อยากเก็บไว้แต่มีขนาดใหญ่กินพื้นที่มากก็ควรจะถ่ายออกมาเก็บไว้ที่จัดเก็บภายนอก ไม่ก็อัพโหลดไว้บน Google Drive หรือแพลตฟอร์มคลาวด์อื่น ๆ เพื่อให้มือถือรับภาระน้อยที่สุด
3. ปิดแอปภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น
สมาร์ทโฟน Android หลายรุ่นหลายแบรนด์มักจะมาพร้อมลูกเล่นที่น่ารัก ๆ อย่างอนิเมชั่นหรือเอฟเฟ็กต์ต่าง ๆ เวลาใช้งาน เช่น ภาพหน้าพื้นหลังแบบเคลื่อนไหวได้ (Live Wallpaper) หรืออนิเมชั่นต่าง ๆ เวลาเปิดหน้าจอ เป็นต้น ซึ่งลูกเล่นเหล่านี้กิน RAM ค่อนข้างมาก ทำให้ตัวมือถือทำงานหนักกว่าเดิมและอาจเกิดอาการช้า หน่วง ใช้งานไม่ลื่นไหลได้ ฉะนั้น หากไม่ใช่มือถือจำเป็นก็ควรปิดลูกเล่นเหล่านี้เพื่อลดภาระงานของมือถือให้ได้มากที่สุด
4. หมั่นเคลียร์ “แคช” ออกจากเครื่อง
เวลาเราเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในมือถือ จะมีการสร้างไฟล์ “แคช” (Cache) ไว้เป็นที่เก็บข้อมูลชั่วคราวเพื่อให้การเรียกใช้แอปนั้น ๆ ทำได้เร็วขึ้น แต่เมื่อใช้งานไปสักระยะ แคชเหล่านี้ก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว บางครั้งก็สะสมจนมีขนาดหลาย GB เลยทีเดียว กินพื้นที่เก็บข้อมูลแบบสุด ๆ ดังนั้น เราจึงควรเคลียร์แคชเหล่านี้ออกไปจากเครื่องเสีย ไม่ต้องถึงขนาดล้างทุกวัน แต่ทำนาน ๆ ครั้งก็ได้ โดยปัจจุบันมีมือถือ Android หลายรุ่นที่มาพร้อมกับแอปประเภท Android Cleaner ที่สามารถลบแคชรวมถึงไฟล์ขยะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้มือถือยังคงทำงานได้ลื่นไหลเหมือนตอนเพิ่งซื้อมา
5. Factory Reset มันซะเลย!
สำหรับ Factory Reset หรือการรีเซ็ตเครื่องเป็นค่าจากโรงงาน ถือเป็นไม้ตายสุดท้ายที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้สมาร์ทโฟน Android กลับไปใช้งานได้รวดเร็วและลื่นไหลเหมือนตอนซื้อมาใหม่ ๆ ในกรณีที่ลองแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นแล้วเครื่องก็ยังทำงานช้าหรือเริ่มทำงานผิดปกติไปจากเดิม แต่ข้อเสียก็คือต้องแลกมาด้วยความไม่สะดวกหลายอย่าง เพราะมันเหมือนการล้างเครื่องใหม่ ซึ่งจะลบข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพ, คลิปวิดีโอ, แอปพลิเคชั่น, รหัสผ่าน ฯลฯ ต้องเสียเวลา Back up ข้อมูล และการเรียกคืนข้อมูลทั้งหมดหลายชั่วโมง ฉะนั้น เราจึงขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้เป็นทางเลือกสุดท้าย
ทั้งหมดนี้ถือเป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้สมาร์ทโฟน Android กลับมาทำงานได้อย่างลื่นไหลอีกครั้ง แถมยังสามารถทำได้ด้วยตัวเองไม่ต้องไปศูนย์ซ่อมให้ยุ่งยาก แต่หากใครลองทุกวิธีที่เราแนะนำแล้วยังมีอาการอืด ช้า หรือเครื่องค้างไม่หายเราก็ขอแนะนำให้ติดต่อร้านค้าหรือศูนย์ตัวแทนของค่ายมือถือนั้น ๆ เพื่อส่งเคลมหรือซ่อมต่อไป